การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสหภาพยุโรปและประเทศไทย (EU-Thailand Senior Officials’ Meeting) ครั้งที่ 15
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 รัฐบาลไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสหภาพยุโรป-ไทย ครั้งที่ 15 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อหารือแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน ซึ่งรวมถึงสถานะปัจจุบันของความสัมพันธ์ทวิภาคี ตลอดจนสถานการณ์ในระดับโลกและระดับภูมิภาคด้วย การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในบรรยากาศที่ดีและครอบคลุมประเด็นหลากหลาย อาทิ การรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 2019 ความสัมพันธ์ทางการค้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองฝ่าย การพัฒนาที่ยั่งยืนและประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ การบริหารจัดการทางทะเลที่ดี สิทธิมนุษยชน การโยกย้ายถิ่นฐาน และประเด็นด้านแรงงาน เป็นต้น
ในระหว่างการประชุมครั้งนี้ ผู้แทนของสหภาพยุโรปและประเทศไทยต่างก็ได้เน้นย้ำว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นเป็นวิกฤติการณ์ระดับโลกที่กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการรับมือกับวิกฤติครั้งนี้
ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสรุปความคืบหน้าเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมเพื่อการลงนามในความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Partnership and Cooperation Agreement: PCA) ระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศไทย
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2562 คณะมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรป (Foreign Affairs Council) ได้มีมติว่า ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่สหภาพยุโรปจะยกระดับความสัมพันธ์กับประเทศไทย ทั้งในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และพหุนิยมประชาธิปไตย โดยการเตรียมพร้อมสำหรับการลงนามกรอบความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือกับประเทศไทยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรปยังได้เห็นควรให้ดำเนินการรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศไทยในโอกาสต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นพ้องต้องกันว่า มติของคณะมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรปเมื่อเดือนตุลาคม 2562 นั้นถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป และยืนยันความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการมีส่วนร่วมในระดับทวิภาคี
ภายใต้บริบทนี้ การหารือระหว่างเจ้าหน้าที่อาวุโสทั้งสองฝ่ายจึงได้รวมถึงความสำคัญอันยิ่งยวดของการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการชุมนุมและการแสดงออก หรือเสรีภาพของสื่อมวลชน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์การชุมนุมในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ทั้งนี้ สหภาพยุโรปได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ผู้ชุมนุมซึ่งยังถูกคุมขังอยู่จะต้องได้รับการปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักกระบวนการอันควรแห่งกฎหมาย และกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งหลักปฏิบัติต่อผู้ถูกคุมขังอื่นๆ ด้วย
ผู้เข้าร่วมการประชุมยังได้แสดงความชื่นชมต่อการที่ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันจัดตั้ง Thailand-EU Labour Dialogue ขึ้นเพื่อเป็นกรอบสำหรับความร่วมมือด้านแรงงาน อันจะเป็นช่องทางที่ดีเยี่ยมสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นด้านแรงงานที่ยังประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย
สหภาพยุโรปและประเทศไทยยืนยันความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือและแบ่งปันประสบการณ์ในการต่อสู้กับการประมงผิดกฎหมาย (IUU) อย่างต่อเนื่อง
ผู้ร่วมประชุมได้ยืนยันที่จะสนับสนุนให้มีการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียนไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ตามที่รัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรปและอาเซียนได้บรรลุข้อตกลงไว้ในเดือนมกราคม 2562 นอกจากนี้สหภาพยุโรปยังแสดงความขอบคุณประเทศไทยที่ยืนหยัดในการสนับสนุนให้การประชุมอาเซียน-สหภาพยุโรปด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN-EU Dialogue on Sustainable Development) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป
การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสหภาพยุโรป-ไทยครั้งที่ 15 นี้ มีนายศศิวัฒน์ ว่องสินสวัสดิ์ อธิบดีกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ และนางพาวล่า แพมพาโลนี รองอธิบดีกรมเอเชียและแปซิฟิก กระทรวงการต่างประเทศสหภาพยุโรป เป็นประธานร่วม
Nabila MASSRALI
Spokesperson for Foreign Affairs and Security Policy
+32 (0) 2 29 88093
+32 (0) 460 79 52 44
Adam KAZNOWSKI
Press Officer for Foreign Affairs and Security Policy
+32 (0) 2 29 89359
+32 (0)460 768 088